มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
นำคณะผู้บริหารและนักฟิสิกส์พลังงานสูงจาก CERN พร้อมด้วยผู้บริหารและนักวิจัยไทย
เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
กราบบังคมทูลรายงานความก้าวหน้าความร่วมมือด้านฟิสิกส์นิวทริโนในโครงการ SND@LHC
วังสระปทุม: วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๑๗.๓๐ น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ นำคณะผู้บริหารและนักฟิสิกส์พลังงานสูงจากองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN: The European Organization for Nuclear Research) เข้าเฝ้าฯ ได้แก่ Prof. Giovanni De Lellis Spokesperson ของความร่วมมือ Scattering and Neutrino Detector at the Large Hadron Collider (SND@LHC), Prof. Albert De Roeck นักวิจัยอาวุโสและหัวหน้ากลุ่มนิวทริโน, และ Prof. Emmanuel Tsesmelis รองหัวหน้าฝ่ายความร่วมมือนานาชาติของ CERN พร้อมด้วยผู้บริหารและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีบทบาทร่วมกับ CERN ในโครงการ SND@LHC

CERN หรือองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป เป็นศูนย์วิจัยฟิสิกส์อนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำการทดลองเพื่อศึกษาส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งเรียกกันว่า “ฟิสิกส์พลังงานสูง” ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับ CERN เริ่มต้นขึ้นเมื่อสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเยือน CERN เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ และได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือนานาชาติ (International Collaboration Agreement) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและ CERN โดยมีพระองค์ท่านทรงเป็นองค์ประธานในพิธี ณ วังสระปทุม

มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ได้รับสนองพระราชดำริให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือไทย–เซิร์น ร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ความร่วมมือนี้ดำเนินต่อเนื่องมากว่าสองทศวรรษ และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ความร่วมมือด้านล่าสุดของไทยกับ CERN คือการเข้าร่วมโครงการ SND@LHC ซึ่งมุ่งตรวจวัด “นิวทริโน” อนุภาคที่มีมวลเล็กมากและไม่ค่อยมีปฏิกิริยากับสสาร จึงตรวจจับได้ยาก เครื่องตรวจวัดนี้ถูกติดตั้งในตำแหน่งพิเศษที่ใกล้ทิศทางการพุ่งออกไปข้างหน้าของอนุภาคจากการชนใน LHC หรือที่เรียกว่า forward region พื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญเพราะเป็นทิศทางที่อนุภาคพลังงานสูงส่วนใหญ่พุ่งออกไป แต่ไม่ครอบคลุมด้วยเครื่องตรวจหลักที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลรอบจุดชน การติดตั้ง SND@LHC จึงเปรียบเสมือนการ “เปิดหน้าต่างใหม่” ให้แก่วงการวิทยาศาสตร์ ช่วยเพิ่มขอบเขตความเข้าใจทั้งด้านฟิสิกส์นิวทริโนและจักรวาลวิทยา

ในการเข้าร่วมครั้งนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ (Full Member) โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ นันทิยกุล เป็น Team Leader ของสถาบัน ขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมในฐานะสมาชิกสมทบ (Associate Member) โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชญานิษฐ์ อัศวตั้งตระกูลดี เป็น Team Leader ของสถาบัน นอกจากนี้ เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ได้มีการลงนาม Addendum No. 3 to the Memorandum of Understanding for the SND@LHC Experiment ระหว่าง SND@LHC Collaboration และภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรับรองสถานะการเข้าร่วมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการในฐานะ สถาบันความร่วมมือ (Collaborating Institution) โดยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูล

นอกจากการมีส่วนร่วมในงานวิจัยหลักแล้ว การพัฒนาบุคลากรและเยาวชนรุ่นใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของความร่วมมือ นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายพิทยา อภิวัฒนกุล ได้ทำวิจัยระดับปริญญาเอกร่วมกับโครงการ SND@LHC พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ดูแลเครื่องตรวจวัด (take shift) และได้นำเสนอผลงานต่อที่ประชุมใหญ่ของความร่วมมือเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ขณะเดียวกัน นักศึกษาระดับปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้เข้าร่วมการวิจัยและปฏิบัติหน้าที่ดูแลเครื่องตรวจวัดเช่นกัน ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่ายิ่ง ช่วยเสริมทักษะการทำงานในสภาพแวดล้อมการวิจัยระดับนานาชาติ และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนก้าวสู่เส้นทางนักวิทยาศาสตร์

การที่นักศึกษาจากทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้ามามีบทบาทอย่างจริงจังในโครงการ SND@LHC ไม่เพียงสะท้อนศักยภาพของบุคลากรรุ่นใหม่ของไทย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการ พัฒนาบุคลากรและเยาวชนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีบทบาทในงานวิจัยด้านนิวทริโนมากขึ้น อันจะนำไปสู่ความต่อเนื่องและความแข็งแกร่งของการมีส่วนร่วมของไทยในโครงการวิจัยขนาดใหญ่ในอนาคต อาทิ High Luminosity LHC และ Future Circular Collider (FCC) Feasibility Study ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงบนเวทีวิจัยระดับโลก